เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๘ ก.ย. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๘ กันยายน ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะนะ อยู่ในราชวัง จะได้ขึ้นครองราชย์อยู่แล้ว คนมันจะได้ขึ้นครองราชย์อยู่แล้วเห็นไหม จะบอกว่าสมบัติทางโลก จะเป็นถึงกษัตริย์ เป็นผู้ปกครองเขา เป็นกษัตริย์ในสังคม ผู้ที่มีอำนาจ ผู้ที่มีสมบัติ ว่ามันเป็นความสุข ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสละทิ้งล่ะ

ถ้ามันมีการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย ตอนไปเที่ยวสวน เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย เราต้องเป็นอย่างนี้หรือ ในเมื่อมีอำนาจขนาดไหน มีสมบัติพัสถานขนาดไหน มันก็ต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย เหมือนกัน ในเมื่อต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย เหมือนกัน มันก็ต้องมีฝั่งตรงกันข้ามว่า ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เหมือนกัน

ในเมื่อมีการไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มันอยู่ที่ไหน ก็ออกค้นคว้า ออกแสวงหา การออกแสวงหา นี่ออกแสวงหาโมกขธรรม โลกเป็นของร้อน เราอยู่กับโลกน่ะ มันของร้อนนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว เห็นไหม นี่โลกนี้เป็นของร้อน ใครๆ ก็บ่นว่า “ร้อน! ร้อน! ร้อน!”

แต่คราวหนึ่งมีบุรุษผู้ที่ฉลาด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้แสวงหา ได้สละทิ้งดุ้นไฟนั้น เห็นไหม “มารเอย...เธอเกิดจากความดำริของเรา” ความดำริ ดุ้นไฟเห็นไหม ความดำริ ความคิด “มารเอย...เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้าอีกแล้ว เจ้าจะเกิดบนหัวใจเราไม่ได้อีกเลย”

แต่พวกเรา มีแต่ความคิด มีแต่โครงการ มีแต่ความมั่นคงของชีวิต นี่เห็นไหม “มารเอย...เธอเกิดจากความดำริของเรา” ความดำริ ความคิด ใช่! มันจะเป็นมรรคนะ เวลาเป็นมรรคเห็นไหม คำว่าเป็นมรรค ความเพียรชอบ ทุกอย่างเราเป็นมรรค มันก็ต้องเกิดมาจากที่นั่นเหมือนกัน เกิดจากความคิดนี่แหละ เราเกิดจากความคิด การแสวงหาของเรา เพื่อจะพ้นจากทุกข์ แต่ถ้ามีกิเลสตัณหาความทะยานอยากเห็นไหม นี่โลกกับธรรมมันอยู่ด้วยกัน โลกกับธรรมมันเกิดมาด้วยกัน

ดูสิ ตาน้ำเห็นไหม แม่น้ำทั้งสายมาจากตาน้ำ แล้วแม่น้ำมันไหลไป มันแยกแตกแขนงของมันออกไปเป็นลำธาร เป็นแยกซอยย่อยออกไป นี่ก็เหมือนกัน “มารเอย...เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้าอีกเลย เจ้าจะเกิดจากใจเราไม่ได้อีกแล้ว”

แต่เวลาเราคิด เราแสวงหา ดำริ ความคิด ความแสวงหา นี่มารทั้งนั้นล่ะ มารมันข่มขี่ ฉะนั้นแต่มันมีทางออกได้ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ผู้รู้จริงวางธรรมวินัย การสั่งสอนเห็นไหม

นี่ศีล สมาธิ ปัญญา มันศีล มันมีสมาธิ มันจะเกิดปัญญา แต่นี่เราว่าใช้ปัญญาๆ เราใช้ปัญญากัน โอ้โฮ! เดี๋ยวนี้มีแต่นักวิทยาศาสตร์ มีแต่นักปราชญ์นะ ใช้ปัญญาทั้งนั้นเลย มันปัญญากิเลสทั้งนั้นล่ะเห็นไหม โลกมันถึงร้อน

โลกมันร้อนเพราะอะไร ร้อนเพราะคนมันชิงสุกก่อนห่าม ขายก่อนซื้อ ทำอะไรก็จะเอาแต่ความมักง่าย ทำอะไรก็จะเอาแต่สิ่งที่ตัวเองคิดว่าไง “มารเอย...เธอเกิดจากความดำริของเรา” ก็ดำรินั้นน่ะ คิดนั่นน่ะ มันกิเลสทั้งนั้น ถ้ามันคิดมันกิเลสทั้งนั้นล่ะ ออกแสวงหาว่าเป็นธรรมๆ มันเป็นธรรมมาจากไหน ถึงบอกโลกมันร้อนเห็นไหม โลกมันก็ร้อน

เราจะหลบมาในศาสนา หลบมาหาครูบาอาจารย์ หลบเข้ามาก็ยังมาเจอร้อนอีก โลกก็ของร้อน ธรรมก็ของร้อน แล้วอยู่ที่ไหนมันจะเย็นวะ นี่โลกก็ร้อน ไปวัดก็ร้อน ที่ไหนมันก็ร้อน ความร้อนของสังคม ความร้อนของโลกเป็นอย่างหนึ่งนะ แต่ “ศาสนานี่มันเป็นอาหารของใจ”

เวลาเขาเดือดร้อนกัน เรามีสมบัติพัสถานพอจะดำรงชีวิตได้ เรามองเขาเห็นไหม เราก็เดือดร้อน แต่ไม่เดือดร้อนเหมือนเขา เขาเดือดร้อนจนไม่มีอะไรจะยาไส้ แต่เราก็เดือดร้อน แต่เรามีอะไรยาไส้

ไปวัดก็เหมือนกัน ถ้าไปวัดข้อวัตรปฏิบัติร้อนไหม.. มันก็ร้อน มันก็ร้อนทั้งนั้นล่ะ ในเมื่อเรายังมีกิเลสอยู่มันก็ต้องร้อน ตบะธรรมไง มันจะแผดเผาไง มันจะดัดแปลงไง มันจะทำให้เราดีขึ้นมาไง ถ้ามันจะทำให้เราดีขึ้นมา “มัน” ไม่ใช่ “เรา”

แต่ถ้าเราทำบ่อยครั้งขึ้นมา มันเป็นเรานะ เป็นเราเพราะอะไร เพราะมันเกิดจากใจเรา จากมันข้อวัตรปฏิบัติ ดูสิ พระเราเห็นไหม หยิบไม้กวาด แล้วกวาดลานเจดีย์นี่ มันเป็นเราไหม ข้อวัตรปฏิบัติเห็นไหม เราต้องทำขึ้นมาทั้งนั้นเลย แต่การทำอย่างนั้นมันดัดแปลงเรา มันแก้ไขเรา มันบังคับใจให้เราเข้าสู่ธรรมไง

คนทุกคน อยากจะให้มรรคผลมันหล่นใส่หัว แล้วมรรคผลมันหล่นใส่หัวทุกคน มรรคผลมันหล่นในหัวเรา แล้วเอาที่ไหนมาหล่นล่ะ เวลามันเกิดมันไม่ได้หล่นมาใส่หัวนี่ มันออกมาจากใจ นี่ไง ภวาสวะภพเห็นไหม ความคิด ความอ่านต่างๆ ทุกอย่างมันเกิดมาจากไหน.. เกิดมาจากใจ เวลาเกิดๆ มาจากไหน

นี่ตามโลกเห็นไหม เพราะว่าตามธรรมดา เรื่องของโลกมันหยาบ มันหยาบก็แบบว่าเกิดจากพ่อจากแม่ทั้งนั้น แต่ถ้าทางธรรม เกิดจากพ่อจากแม่ จิตมันเกิด เวลาชำระกิเลส เวลากิเลสมันตายไปจากใจ มันเหลืออะไรล่ะ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วนี่ ๔๕ ปี ชีวิตยังหายใจอยู่ ยังมีชีวิตอยู่นี่แหละ แต่กิเลสมันตายไปจากหัวใจ พอกิเลสมันตายจากหัวใจแล้วนี่ มันไม่มีการเกิดอีกแล้ว ไม่มีการย่อยสลาย ไม่อะไรสิ่งใดทั้งสิ้น มันเป็นวิมุตติ มันพ้นไปจากทุกๆ อย่างเลย แล้วมันไปไหนล่ะ

มันก็อยู่ในร่างกายของครูบาอาจารย์เราที่ยังมีชีวิตอยู่นี่ไง แต่ของเรานี่มันมีด้วยความเร่าร้อน มันมีด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ถึงว่าโลกร้อน! โลกร้อน! เห็นไหม โลกนี่ร้อน สังคมนี่ร้อน ทุกอย่างเร่าร้อนไปหมดเลย แต่เราก็เกิดมาจากเขานี่ ดูสิ ถ้าไม่มีแสงอาทิตย์ โลกอยู่ได้ไง หนาวตายกันหมดเลย มันก็ต้องมีแสงอาทิตย์ มีพลังงานขึ้นมาเพื่อความอบอุ่น

นี่ก็เหมือนกัน โลกมันร้อน! โลกมันร้อน! โลกมันร้อนเพราะพลังงานอันนั้น ถ้าเราใช้มันเป็นเห็นไหม โลกมันร้อน เราใช้ให้มันถูกสิ เรามีศีล มีธรรมของเรา ถ้าเรามีศีลธรรม โลกเขาว่าโง่... คนมีศีล มีสัจจะ...คนโง่

แต่กลิ่นของศีล กลิ่นของธรรม...มันหอมทวนลม ถึงจะโง่ โลกเขาว่าโง่ แต่มันฉลาดกับตัวเราเอง ฉลาดกับกิเลส อวิชชาความไม่รู้นั่นน่ะมันยิ่งโง่เข้าไปใหญ่ แล้วความไม่รู้ในหัวใจนี่มันโง่ แล้วเวลาเราฉลาดกับมัน มันบอกเราโง่! นี่โง่!โง่กูจะฆ่ามึงไง.. ไอ้โง่จะฆ่าไอ้ที่ว่าฉลาดๆ ในหัวใจนี่แหละ ไอ้ที่ว่าฉลาดๆ นี่มันเหยียบย่ำตัวเราเอง แต่ว่าเราโง่กับโลก แต่ฉลาดกับตัวเอง ฉลาดกับศีลธรรม นี่มันจะเย็น

ถ้าโลกมันร้อนเราก็ร้อนกับเขา ก็เอาใส่กองฟืนกองไฟเข้าไป เราชักฟืนชักไฟออก ไฟมันจะดับได้ต่อเมื่อมันไม่มีเชื้อ ความเป็นเชื้อในหัวใจเรานี่ เขาจะติฉินนินทานะ พวกเรานี่มันจะทำสิ่งใดก็แล้วแต่ มันแคร์สังคมไง แคร์เขาจะว่าอย่างนั้น แคร์เขาจะว่าอย่างนี้ แคร์เขาไปหมดเลย แล้วเราก็ล้มลุกคุกคลาน

แต่ถ้าไม่แคร์เขาล่ะ เราไม่แคร์สังคมก็ได้ แต่เราอยู่กับสังคมนี่ แต่กูไม่แคร์ เรามีศีลมีธรรมนี่เราเชื่อศาสดา เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญา เรามีสัจจะ เรามีศีลของเรา เรามีหัวใจของเรา เรายืนของเราให้ได้

ถ้าเรายืนของเราให้ได้ ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาองค์เดียวเห็นไหม นี่เป็นครูสอนเทวดา อินทร์ พรหม ลงมาถึงมนุษย์มนาทั้งหมด หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเรา มาหนึ่งองค์เลยนี่ สำเร็จขึ้นมาเป็นหนึ่งองค์เห็นไหม สั่งสอนลูกศิษย์ลูกหามา เป็นที่พึ่งของสังคมนะ

สังคมเรานะ ถ้าไม่มีศาสนา ไม่มีครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่งบ้างเลย ทุกคนก็เดือดร้อนทั้งนั้นเลย เดือดร้อนก็เดือดร้อน.. เอาความเดือดร้อนกับเดือดร้อนมาคุยกัน.. เอาความเดือดร้อนกับเดือดร้อนมาปรับทุกข์กัน.. มันก็มีแต่ความเร่าร้อนไง

แต่เวลาไปหาครูบาอาจารย์เราเห็นไหม ท่านให้วาง! ให้วาง! ให้วาง! นี่มันถึงพอมีความร่มเย็นอยู่บ้าง มันมีความร่มเย็นอยู่ได้บ้าง ดูสิ พ่อแม่เห็นไหม ลูกนี่รัก! เอ็ด! ทั้งเอ็ด ทั้งดุ ทั้งว่า ก็เพื่อต้องการให้ลูกดี

ครูบาอาจารย์ที่ดีท่านเป็นอย่างนั้นนะ ครูบาอาจารย์ที่ดี ท่านคอยบอกความบกพร่องของเรานะ ว่าสิ่งนี้ทำอย่างนี้ไม่ถูก ทำอย่างนี้ไม่ได้ ทำอย่างนี้...อูย..ไม่ดีเลย ไม่ดีสักอย่าง แต่ถ้าไปที่ไหนนะ เขาโอ๋..โอ๋..โอ๋..มันเรื่องโลกๆ อ่ะ!! มันของร้อน! นั่นมันร้อนทั้งนั้นล่ะ

มันของร้อนเพราะอะไร เพราะมันเป็นยาพิษเคลือบด้วยน้ำตาล นี่โอ๋ๆๆ น้ำตาลทั้งนั้นล่ะ แต่ข้างในมันยาพิษ แต่ครูบาอาจารย์เราไม่มียาพิษนะ.. หวานเป็นลม ขมเป็นยา มันเป็นความขมขื่น มันเป็นความให้เราไม่ได้ดังใจ มันเป็นการชะล้างหัวใจเรา มันเป็นการเตือนหัวใจ ให้หัวใจมันรู้จักตัวมันเอง ให้มันยืนขึ้นมา สิ่งที่ยืนขึ้นมามันถึงเป็นประโยชน์กับเรา

นี่ไง โลกมันร้อน เราเข้ามาวัดก็ไม่ร้อน ไม่ใช่โลกก็ร้อน เราจะมาปฏิบัติเราก็มาร้อน มันจะร้อนเพราะว่าตบะธรรมมันแผดเผากิเลสของเรา มันไม่ได้ดังใจ ใจไม่ได้ดังใจสักอย่างหนึ่ง

ดูสิ ครูบาอาจารย์ของเราที่เข้มแข็งนะ หลวงปู่หล้า ตอนอยู่กับหลวงปู่มั่น ไปบิณฑบาตถือธุดงค์อยู่แล้วนะ บ้านนอกคอกนานี่ไม่มีถุงพลาสติก มันก็มีแต่ผักต้ม มีแต่น้ำพริกผักต้มบ้านนอกคอกนานั่นน่ะ เวลาได้อะไรมา อะไรที่มันพอใจจับเขวี้ยงเข้าป่า ในบาตรนี่! ตกบาตรมา อะไรที่มันอร่อยๆ อะไรที่มันถูกใจนี่ จับโยนเข้าป่า.. จับโยนเข้าป่า.. นี่ไง ร้อนไหมล่ะ ดัดแปลงมัน ไม่ให้มันได้ดังใจ อะไรที่มันอยากได้.. ไม่เอา แล้วเหลืออะไร ก็เหลือข้าวเปล่าๆ ไง มึงกินอย่างนี้.. มึงต้องทำอย่างนี้.. ดูอย่างนี้..

นี่ไง คนมีสติปัญญา ถ้ามีสติปัญญาเอาตัวรอดได้ รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี รักวัวให้ผูก เรากลัววัวของเราจะไปทำลายคนอื่น เราผูกไว้ เราดูแลของเรา เรารักมัน เราดูแลมัน เราไม่ให้เที่ยวไปเบียดเบียนคนอื่น ลูกของเรามีปัญหาเราก็เฆี่ยน เราก็ตี เพื่อความดีของมัน ใครจะว่านั่นเรื่องของเขา

นี่ไม่ให้ทำกันเลย เอาเด็กเป็นศูนย์กลางๆ เด็กเป็นศูนย์กลางก็ขวดนมอ่ะ มันจะกินแต่นมนั่นน่ะ เด็กเป็นศูนย์กลางก็จริง แต่คนที่จะสอนมันต้องมีปัญญา ต้องมีความรู้ถึงจะสอนเด็กได้ ถ้าสอนเด็กได้ เด็กมันจะได้ปัญญาจากผู้ใหญ่นั่นแหละ นี่ก็เหมือนกัน รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี หัวใจของเรานี่มันเกเรเกตุงนี่ เราก็ต้องมีกติกากับมัน ถ้าเรามีกติกากับมันเราจะเป็นคนดี

เราจะเป็นคนดี คนดีมันจะลอยมาจากฟ้าหรือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖ ปี หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติมานี่กี่สิบปี คนเรากว่าจะดีมานี่ มันทรมานตนมาทั้งนั้นล่ะ คนเรากว่าจะดีมันแก้ไขดัดแปลงตนมาทั้งนั้นล่ะ ไม่มีหรอกความดีที่ไหนมันลอยมาจากฟ้า ไม่มีหรอก!

ไอ้สิ่งที่มีนี่ ยาพิษอาบน้ำผึ้ง สิ่งที่ว่าเรียบง่ายสะดวกสบายนี่ มันเป็นยาพิษอาบน้ำผึ้งทั้งนั้นล่ะ มันเคลือบด้วยน้ำตาล เวลาหมดจากน้ำตาลไปเจอยาพิษ ยาพิษแล้วมันจะทำให้จิตใจดวงนั้นเศร้าหมอง คอตกนะ... พอถึงเวลาที่สุดแล้วทำอะไรไม่ได้เลย

แต่ในเมื่อปัจจุบันนี่ เรามีสติปัญญาของเรา ซื่อตรง มีศีล มีธรรม มีสัจจะ สู้กับมัน สู้กับกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรานะ เราเกิดเราตายมานี่ เพราะว่ามันครอบงำเรามาตลอด ใช่! เกิดมาเป็นคนดี เราจะให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข ครอบครัวตระกูลให้เป็นสุข อันนี้เป็นเรื่องของโลก เราต้องทำหน้าที่ของเราอยู่แล้ว

แต่ใจเราล่ะ แต่ใจเรามันจะไปอย่างนี้อีกไหม ถ้าเราแก้ที่นี่ได้ มันจบที่นี่ ถ้าใจเรายังแก้ที่นี่ไม่ได้ คนมีบุญมีธรรมเกิด มันก็เกิดมาดี สังคมก็ร่มเย็นเป็นสุข ก็อาศัยคนที่มีบารมี สิ่งนี้มันเป็นสัจจะ มันเป็นความจริงอันหนึ่ง แต่มันเป็นผลของวัฏฏะ คือมันเวียนตายเวียนเกิดไง

แต่มันมีธรรมอันหนึ่ง ธรรมอันหนึ่งเห็นไหม นี่อริยสัจ สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ สามารถทำให้ไม่เกิดได้ไง สามารถทำให้สิ้นสุดได้ไง เราจะเอาความสิ้นสุด หรือเราจะเอาการต่อเนื่อง

ถ้าการต่อเนื่องก็ต่อเนื่องด้วยคุณงามความดีไป แต่ถ้าสิ้นสุดที่นี่ได้ เราก็สิ้นสุดที่นี่ได้ด้วยการกระทำของเรา เห็นไหม มันอยู่ที่เราเลือก เราคัด เราเลือกของเรา เรามีสติปัญญาของเรา เราเลือกเอง เราทำเองนะ หัวใจของเราน่ะดัดแปลงของเราเองเห็นไหม นี่ธรรม!

วันนี้วันพระ วันพระวันเจ้าเห็นไหม วันโกนวันพระ วันปกติเราก็ทำมาหากินของเรา เพื่อดำรงชีวิตของเรา วันพระวันเจ้านี่อริยทรัพย์ ทรัพย์จากภายใน เราควรได้ ทรัพย์จากข้างนอกเราก็มี ทรัพย์จากข้างในนี่ มีสติ มีปัญญาขึ้นมานี่ เราจะระลึกรู้

เวลามีสติมีปัญญา ถ้าจิตมันมีหลักมีเกณฑ์นะ มันมีความคิดนี่ โอ้โฮ! มันแทงทะลุหมดนะ สิ่งนั้นก็ไม่ดี สิ่งนี้เป็นคุณงามความดี มันรู้มันเห็นของมันหมดนะ แต่เวลาจิตมันเสื่อมนะ เวลาจิตมันไม่มีหลักมีเกณฑ์นะ มันคิดอะไรไม่ออกเลย มันตีโพยตีพาย มันแบบว่าทำไมโลกเป็นอย่างนี้ มันคิดอะไรไม่ออกเห็นไหม

แต่ถ้ามีศีล มีธรรม ขึ้นมานี่ มันมีปัญญาขึ้นมา เรามองโลก เราเข้าใจโลกเห็นไหม มันเกิดจากอะไรล่ะ นี่ปัจจัตตัง นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” ผู้ใดมีสมาธิ ผู้ใดมีธรรมในหัวใจเห็นไหม โลกุตตรธรรม ปัญญามันเพริศแพร้ว มันจะชำระล้าง มันจะแหวกว่าย มันจะปลดเปลื้อง มันจะทำให้มันเป็นอิสระ

แล้วถ้าอิสระเห็นไหม สอุปาทิเสสนิพพาน พอมันเป็นอิสระแล้ว ความคิด ขันธ์ ๕ กับร่างกาย เป็นเศษ เป็นสิ่งที่เหลือ เพราะมันยังมีอายุขัยอยู่ไง แต่ใจมันพ้นไปแล้วเห็นไหม เศษเหลือทิ้ง นี่เราจะรู้ เราจะเห็นของเราเห็นไหม นี่โลกร่มเย็น

โลกมันร้อน ร้อนเพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เราประพฤติปฏิบัติจนมันชำระหมด มันทำให้ปลดเปลื้องหมดเห็นไหม มันจะเย็น มันจะรู้ของมัน แล้วเย็นเห็นไหม มันเหมือนคนบ้า โลกเขาร้อนกันหมดเลย ไอ้นี่บ้าอยู่คนเดียว บอกเย็นๆๆ ...มึงบ้าเหรอ...

แต่คนบ้านี่ สติปัญญามันรู้มันนะ คนบ้ามันเข้าใจนะ ไอ้คนไม่บ้าน่ะมันจะทุกข์ เอวัง